ชวนรู้จัก E-COMMERCE คืออะไร? กับวิธีพิชิตการขายสินค้าออนไลน์ให้รุ่ง
Electronic Commerce หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า E-commerce คือ เป็นวิธีการซื้อขายสินค้าหรือบริการอย่างหนึ่งด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ต พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการซื้อขายสินค้าและบริการแบบออนไลน์นั่นเองครับ
ซึ่งคนไทยหลายคน มักที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจผ่านการเปิดร้านค้าบน Social Media อย่างเช่น Facebook , Instagram , Twitter ซึ่งก็ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายต่อการสร้างธุรกิจ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตมากขึ้น การขายสินค้าใน Social media ก็อาจยังไม่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการขยายฐานลูกค้า ทำให้หลายธุรกิจหันไปใช้การขายสินค้าในรูปแบบ Market Place อย่าง Shopee, Lazada หรือเลือกทำเว็บไซต์ E-commerce เพื่อสร้างมั่นคงให้กับธุรกิจ ซึ่งก็สามารถทำ Online Marketing ผ่านเว็บไซต์เพื่อดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น เรียกได้ว่าการมีธุรกิจในลักษณะ E-commerce คือ สิ่งอำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อในยุคนี้เลยก็ได้ครับ
ยาวไปอยากเลือกอ่าน
มี E-COMMERCE แล้วดีกว่าอย่างไร
- E-commerce คือสิ่งที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเเละจัดการ เช่น ลดค่าเช่าหน้าร้าน ลดพนักงานในการเฝ้าร้าน ลดพื้นที่ในการสต็อกสินค้า
- E-commerce คือสิ่งที่จะช่วยให้ผู้ขายสามารถเเสดงสินค้าหรือบริการได้ผ่านรูป วีดีโอ โดยไม่ต้องมีหน้าร้าน
- E-commerce คือสิ่งที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่มฐานลูกค้า เพราะเมื่อขายผ่านออนไลน์ ก็จะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งภายในประเทศเเละต่างประเทศ
- E-commerce คือสิ่งที่จะสามารถช่วยให้การเเสดงข้อมูลพร้อมระบบสนทนาอัตโนมัติได้ รองรับลูกค้าที่สนใจได้ตลอดเวลา
- E-commerce คือสิ่งที่จะช่วยทำ Online Marketing ได้อย่างง่าย ซึ่งสามารถวัดผลได้ชัดเจน อย่างเช่นการใช้ Social Media เก็บข้อมูลผู้ใช้งานที่เข้ามาเยี่ยมชมได้
- E-commerce คือสิ่งที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อให้ธุรกิจ ด้วยการมีตัวตนและเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์ เพราะในเว็บไซต์หรือ Social Media จะสามารถระบุประวัติความเป็นมา การลงข้อมูลสินค้าสม่ำเสมอ ช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น และกล้าที่จะติดต่อมา
E-COMMERCE ลงขายอะไร ได้บ้าง?
E-commerce คือช่องทางที่จะช่วยให้สินค้าไปจนถึงบริการทุกอย่างสามารถขายได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพียงแค่ไม่เป็นสินค้าที่ผิดกฏหมายครับ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น สามารถแบ่งประเภทสินค้าเป็น 3 ประเภท คือ
- สินค้าที่จับต้องได้ เช่น ต้นไม้ เครื่องใช้ อาหาร อุปกรณ์ต่างๆ
- สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Digital Good) เช่น แอปพลิเคชัน ดนตรี ซีรีส์ รูปถ่าย
- บริการ เช่น ตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พัก บริการสปา คลินิกเสริมความงาม
เว็บไซต์ E-COMMERCE ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง
อย่างที่อธิบายไปข้างนั้นว่า E-Commerce คือ ช่องทางการขายสินค้าระหว่างร้านค้าและลูกค้า ซึ่งเว็บไซต์ก็มีอีกปัจจัยหนึ่งที่จะบ่งบอกว่าสินค้านั้นขายได้หรือไม่ได้ เพราะในปัจจุบันก็ธุรกิจขายสินค้าออนไลน์เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีแข่งขันสูง
ดังนั้นเว็บไซต์เองก็ต้องมีระบบที่ดีต่อ ใช้งานง่าย สะดวกทั้งลูกค้าและเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง
- หน้าเว็บไซต์ควรมีความเป็นระเบียบ ใช้งานง่าย มีการแบ่งหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบ ไม่ซับซ้อน
- ระบบหลังร้านต้องจัดการและควบคุมได้ง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขาย
- มีรายละเอียดสินค้าครบ มองเห็นชัดเจน ทั้งรูปภาพ คำอธิบาย ราคา นอกจากนี้ยังควรเพิ่มในส่วนของการรีวิวจากลูกค้า เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการตัดสินใจซื้อ
- สถานะสินค้า เช่น สินค้าหมด สินค้ามีจำนวนน้อย ซึ่งควรแสดงผลแบบทันที เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ
- มีขั้นตอนการสั่งซื้อที่เข้าใจง่าย สะดวกสบาย แยกขั้นตอนละเอียด
- เพิ่มระบบสั่งซื้อด้วยตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ที่สามารถจดจำข้อมูลและจำนวนสินค้าของลูกค้าได้
- มีระบบสรุปรายการสั่งซื้อ เช่น ราคาสินค้าทั้งหมด ค่าจัดส่ง โปรโมชั่น ส่วนลด เป็นต้น
- ระบบชำระเงินควรปลอดภัย และมีทางเลือกให้ชำระเงินได้หลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต โอนผ่านธนาคาร เก็บเงินปลายทาง เป็นต้น
- มีระบบการติดตามการจัดส่ง ไม่ว่าจะเป็นการสามารถก็อปปี้เลขแทรค หรือมีระบบติดตามติดตั้งภายในเว็บไซต์ของเรา
- ควรทำให้เว็บไซต์ของเราต้องรองรับการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้ค้นหาสินค้า แล้วเจอเว็บไซต์ E-Commerce ของเราครับ
4 เคล็ดลับเริ่มธุรกิจ E-COMMERCE ให้ยอดขายพุ่ง
ธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ สามารถเริ่มต้นขายได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ ข้าราชการ คนเกษียณอายุ แล้วอะไรที่จะทำให้ธุรกิจของเราแตกต่างจากคนอื่น วันนี้ผมมีเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับเพิ่มยอดขายให้เจ้าของธุรกิจที่ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก่ากันครับ
1.ใส่ความเป็นตัวของตัวเอง
เว็บไซต์ E-Commerce คือ ช่องทางการซื้อสินค้าสำหรับผู้ขายและผู้ซื้อ การสร้างตัวตนเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะจะช่วยทำให้ลูกค้ารู้ว่าเป็นใคร กำลังขายอะไร และเพิ่มโอกาสจดจำธุรกิจของเราได้ ซึ่งเริ่มด้วยวิธีง่ายๆ อย่าง
- การตั้งภาพลักษณ์โปรไฟล์ให้ดูน่าเชื่อถือ
- เริ่มสร้าง Content ประเภทต่างๆ ทั้งรูปภาพ วีดีโอ หรือเขียนเนื้อหาธุรกิจของเราให้น่าสนใจ เข้าใจง่าย และไม่ควรเขียนเนื้อหาที่ตั้งขายขายสินค้ามากเกินไป
- Content ที่เหมาะกับการสร้างตัวตน สามารถเป็นการความรู้ เทคนิคการใช้งาน ความเป็นมาของสินค้า เป็นต้น
- หมั่นอัปเดตข้อมูลและ Content อย่างสม่ำเสมอ ในทุกๆช่องทาง ทั้งเว็บไซต์ไปจนถึง Social Media ควรเลือกให้เหมาะกับแพลตฟอร์มครับ เช่น มีการทำวีดีโอสั้นๆใน Tiktok หรือเขียนบทความประกอบเว็บไซต์
การสร้างตัวตนนี้เองจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่านอกจากขายซื้อสินค้าจากเราแล้ว ยังมีประโยชน์และความรู้ที่น่าสนใจให้ติดตาม รวมไปถึงช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วยครับ
2.โฆษณาที่ดีที่สุดคือรีวิวจากผู้ใช้งาน
ปัจจัยหลักของเว็บไซต์ E-commerce คือ ลูกค้าที่เคยสั่งสินค้าหรือบริการได้นำสินค้าไปแนะนำต่อให้คนคนอื่น หรือเรียกว่าการรีวิวต่อนั่นเองครับ ซึ่งเป็นการโปรโมทสินค้ารูปแบบหนึ่งที่ประสิทธิภาพและคุณภาพมากกว่าการทำโฆษณาออนไลน์ ข้อดีคือลดค่าใช้จ่าย และยังเป็นการสร้างความไว้วางใจให้สินค้าของเราดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
โดยเคล็ดลับคือ การเพิ่มส่วนที่สามารถให้ลูกค้าสามารถแสดงความคิดเห็น หรือให้คะแนนสินค้าของเราได้หลายๆ ช่องทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า อาจจะมีของตอบแทนเป็นส่วนลดเมื่อซื้อครั้งต่อไปเพื่อจูงใจก็ได้เช่นกันครับ และอย่าลืมแจ้งให้ลูกค้าทราบนะครับ เช่น สามารถรีวิวสินค้าหรือถ่ายภาพสินค้า เพื่อรับส่วนลด 5.- ในครั้งต่อไปครับ เป็นต้น
3.ร่วมแคมเปญใหญ่จากกระแสดัง
แคมเปญที่ช่วยกระตุ้นการซื้อสินค้าจำนวนมากในปัจจุบันก็คือ แคมเปญประจำเดือนอย่าง 10.10 /11.11 /12.12 ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ที่มาร์เก็ตเพลสชื่อดังอย่าง Lazada, Shopee จัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ซึ่งหากธุรกิจของเรามีการจัดโปรโมชั่นเกาะกระแสไปกับแคมเปญเหล่านี้ ก็จะทำให้การรับรู้ของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เกิดความอยากซื้อมากขึ้น และถือเป็นการใช้ประโยชน์อิงกันแบบที่เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำ การตลาดมากขึ้น สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก อาจจะเริ่มเกาะกระแสจัดโปรโมชั่นง่ายๆ อย่างการทำประกาศในเว็บไซต์หรือ Social Media ให้เห็นชัดเจนล่วงหน้า แล้วเสริมโปรส่งฟรี ที่จะทำให้ดึงลูกค้าได้ดีเลยครับ
4.เสริมด้วยการรับประกันสินค้า
เว็บไซต์ E-Commerce คือ การตัดสินใจซื้อสินค้าทางออนไลน์โดยที่ลูกค้ากับคนขายพูดคุยกันเพียงผ่านข้อความ ปัญหาที่มักจะตามมา คือลูกค้ามักลังเลและไม่แน่ใจเพราะไม่ได้เห็นหรือสัมผัสสินค้าเอง ทำให้กลัวจะได้รับสินค้าที่ไม่ดี
ดังนั้นหากธุรกิจของเราจึงต้องเพิ่มความเชื่อมั่นให้ลูกค้าผ่านทางการการรับประกันสินค้า เช่น รับประกันสินค้าภายใน 1 เดือน หากพบว่าสินค้าชำรุด , สามารถเปลี่ยนสินค้าหากได้รับสินค้าผิด , คืนเงินทันทีหากสินค้ามีปัญหาหลักเปิดพัสดุ เป็นต้น ซึ่งเทคนิคนี้นับว่าเป็นวิธีที่ธุรกิจใหญ่ใช้กัน ซึ่งเป็นการทำให้ลูกค้ามั่นใจและเห็นถึงความจริงใจของเรามากขึ้น แต่ข้อควรระวังคือสินค้าของเราต้องมีประสิทธิภาพและคุณภาพนะครับ ไม่งั้นอาจจะเป็นเราเองที่จะได้รับความเสียหายจากการนำเคล็ดลับนี้ไปใช้แน่นอน
จะเห็นได้ว่า E-Commerce คือ ส่วนหนึ่งที่สามารถอำนวยความสะดวกทั้งแก่เจ้าของธุรกิจและลูกค้า บางธุรกิจที่พึ่งเริ่มต้น สามารถเริ่มต้นจากการใช้ Social Media ในการขายสินค้าก่อนได้ครับ แต่ก็อาจะทำให้พบข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน การมีเว็บไซต์ E-Commerce เป็นของตัวเองย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เริ่มต้นอยากสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเอง สามารถให้ 1001Click เข้ามาช่วยดูแลเพื่อให้เว็บไซต์ E-Commerce ของคุณมีคุณภาพ เพราะด้วยทีมงานที่เชี่ยวชาญในการออกแบบเว็บไซต์และจัดการระบบ เราจึงมั่นใจที่จะพัฒนา พร้อมช่วยเหลือธุรกิจของคุณให้เติบโตขึ้น
- สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาได้ที่ 081 116 1001
- Line Id : 1001click
- Email : info@1001click.com