เช็คด่วน! Web App ของเรามีความเสี่ยงอยู่หรือเปล่า?
สำหรับการออกแบบและพัฒนา Web App แล้ว ความปลอดภัยถือเป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อธุรกรรมทางออนไลน์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้กลายเป็นสิ่งที่แฮกเกอร์ต่างหมายตา ส่วนความปลอดภัยของ Web App จะมีความสำคัญอย่างไร และมีแนวทางในการป้องกัน Web App จากการถูกโจมตีทางไซเบอร์อย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันได้ในบทความนี้เลย
ความสำคัญของ Web App Security
Web App Security หรือความปลอดภัยของเว็บแอปพลิเคชัน เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจาก Web App มักจะเก็บข้อมูลสำคัญที่มักเป็นเป้าหมายของแฮ็คเกอร์ การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินจากการโจรกรรมข้อมูล การฉ้อโกงออนไลน์ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ไปจนถึงการทำลายข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อธุรกิจ ผู้ให้บริการเว็บแอปพลิเคชันควรมีการทดสอบความปลอดภัยเชิงรุกเพื่อค้นหาช่องโหว่ มีการดำเนินการรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง และการมีแผนการแก้ไขในกรณีเหตุฉุกเฉินด้านความปลอดภัยของแอปพลิเคชันด้วย เพื่อให้เว็บแอพของเราไม่สุ่มเสี่ยงจากภัยคุกคามด้าน Cybersecurity และมอบความอุ่นใจให้กับผู้ใช้งานเว็บแอปพลิเคชันนั่นเอง
10 แนวทางการรักษาความปลอดภัยของเว็บแอปพลิเคชัน
1. ตั้งค่าความปลอดภัย
ควรตรวจสอบและปรับปรุงการตั้งค่าความปลอดภัยของ Web App เป็นประจำ เพื่อป้องกันการตั้งค่าการรักษาความปลอดภัยที่ผิดพลาด นอกจากนี้ยังต้องใช้ OWASP Secure Coding Checklist ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ด รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลที่รับเข้ามาและส่งออกจากระบบ รวมถึงการยืนยันตัวตนและการจัดการรหัสผ่าน
2. ตรวจสอบสิทธิ์และจัดการเซสชัน
ถือเป็นกลไกหลักที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ ส่วนการจัดการเซสชันก็ยังช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าข้อมูลของผู้ใช้จะถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยในระหว่างการโต้ตอบกับแอปพลิเคชัน ทั้งยังช่วยมอบประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่นจากการจดจำข้อมูลสถานะของผู้ใช้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการให้บริการที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
3. ป้องกัน CSRF
การป้องกัน CSRF โดยการใช้ CSRF Tokens หรือ SameSite Cookies จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Web App ด้วยการป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีร้องขอข้อมูลหรือทำธุรกรรมจากเว็บไซต์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้งานจริง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงที่ข้อมูลสำคัญจะถูกขโมยหรือถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ป้องกัน Insecure Direct Object Reference
การป้องกัน Insecure Direct Object Reference (IDOR) ช่วยรักษาความปลอดภัยของ Web App โดยการป้องกันไม่ให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงหรือแก้ไขข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตผ่านการจัดการตัวระบุอ็อบเจ็กต์ การใช้ตัวตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงที่เข้มงวดและการใช้ตัวระบุที่ซับซ้อนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันช่องโหว่นี้ นอกจากนี้ การไม่เปิดเผยตัวระบุใน URL หรือใน body ของ POST ก็เป็นวิธีที่ดีในการลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีด้วยวิธี IDOR อีกด้วย
5. ข้อมูลที่สำคัญ ๆ ต้องเข้ารหัส
การเข้ารหัสข้อมูลช่วยปกป้อง Web App จากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยการเปลี่ยนข้อมูลที่สามารถอ่านได้ให้อยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ซึ่งทำให้ข้อมูลนั้นปลอดภัยจากการถูกดักจับหรือถูกใช้ในทางที่ผิด นอกจากนี้ การเข้ารหัสยังช่วยให้สามารถรักษาความลับและความสมบูรณ์ของข้อมูล และยังช่วยให้เว็บแอปพลิเคชันของเรามีความสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตอีกด้วย
6. ใช้ HTTPS และ HSTS
การใช้ HTTPS จะเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ต ป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกดักจับหรือแก้ไขโดยบุคคลที่สาม ในขณะที่ HSTS จะช่วยให้เว็บไซต์สามารถบังคับใช้การเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสเสมอ ซึ่งจะลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle และยังช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นโดยการลดขั้นตอนการเปลี่ยนเส้นทางจาก HTTP ไปยัง HTTPS นั่นเอง
7. อัพเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำ
หลายคนอาจมองว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับ Web App เท่าไหร่นัก แต่จริง ๆ แล้ว การตรวจสอบและอัพเดตซอฟต์แวร์ของเราเอง เช่น เฟรมเวิร์ค ไลบรารี และระบบปฏิบัติการ เป็นส่วนสำคัญในการรักษาความปลอดภัยเลยทีเดียว เนื่องจากจะช่วยปิดกั้นช่องโหว่ที่อาจถูกแฮกเกอร์ฉวยโอกาส รวมไปถึงการแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ในระบบและการปรับปรุงความปลอดภัยที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบปฏิบัติการและไลบรารีที่ใช้งานอยู่สามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพอีกด้วย
8. ติดตั้ง WAF
การติดตั้ง WAF (Web Application Firewall) ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Web App โดยการป้องกันการโจมตีที่เกิดจากช่องโหว่ต่าง ๆ เช่น SQL Injection และ Cross-Site Scripting (XSS) โดย WAF จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน โดยการตรวจสอบและคัดกรองข้อมูลที่ผ่านเข้ามาในระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่เป็นอันตรายเข้าถึงเว็บแอปพลิเคชันได้ ซึ่ง WAF นี้สามารถปรับแต่งได้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ ช่วยให้การจัดการความปลอดภัยเป็นไปอย่างมีระบบและง่ายดายยิ่งขึ้น
9. ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจสอบความปลอดภัยของ Web App อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการทดสอบการเจาะระบบและการตรวจสอบรหัสป้องกันช่องโหว่ ช่วยให้แน่ใจว่าข้อมูลสำคัญและการทำงานของเว็บไซต์จะปลอดภัยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจในความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลดีต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีต่อธุรกิจอีกด้วย
10. เตรียมแผนการรับมือเหตุฉุกเฉินล่วงหน้า
การมีแผนฉุกเฉินจะทำให้เราสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการป้องกันข้อมูลจากการสูญหายหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังช่วยลดเวลา Down time ของระบบ และรักษาความไว้วางใจของผู้ใช้ได้อีกด้วย การวางแผนที่ดียังช่วยให้สามารถกู้คืนระบบได้เร็วขึ้นหลังจากเกิดการโจมตี และนับเป็นการบริหารความเสี่ยงที่ดี ซึ่งจะช่วยให้ Web App และธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่มีปัญหานั่นเอง
การมีมาตรการที่เข้มงวดและการอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปฏิบัติตามข้อแนะนำทั้ง 10 ข้อที่ 1001 Click ได้รวบรวมมาแบ่งปันกันเป็นความรู้สำหรับบทความนี้ จะช่วยป้องกันไม่ให้ Web App ของเราตกเป็นเป้าของการโจมตีทางไซเบอร์ แม้ว่าจะไม่มีระบบความปลอดภัยใดในโลกนี้ที่สามารถป้องกันการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่การติดตามข่าวสารความรู้ใหม่ ๆ และการอัพเดตระบบให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้เว็บแอพของเราอยู่ในสถานะที่มั่นคงและปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วล่ะครับ
หรือติดต่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทาง
- Line ID: 1001click
- Tel: 081 116 1001
- Email: info@1001click.com